ประวัติความเป็นมา


 

อโรคยาศาลโบราณสถานกู่คันธนาม หรือ กู่คัฒทนาม

ข้อความจากศิลาจารึกกู่คันธนามโรคทางกายของประชาชนนี้เป็นโรคทางใจที่เจ็บปวดยิ่ง เพราะว่าความทุกข์ของราษฎร แม้มิใช่ความทุกข์ของพระองค์ แต่เป็นความทุกข์ของเจ้าเมือง พระองค์พร้อมด้วยแพทย์ทั้งหลาย ผู้แกล้วกล้าและคงแก่เรียนในอายุรเวทและอัสตรเวท ได้ฆ่าศัตรูคือโรคของประชาชนด้วยอาวุธ คือ เภสัช…..พระองค์ได้สร้างโรงพยาบาล และรูปพระโพธิสัตว์ไภษัชยสุคต พร้อมด้วยรูปพระชิโนรส ทั้งสองโดยรอบ เพื่อความสงบแห่งโรคของประชาชนตลอดไป…”

ที่ตั้ง

ตั้งอยู่ในเขตตำบลยางคำ อำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด บริเวณรุ้งที่ ๑๕ องศา ๒๗ ลิปดา ๔๖ ฟิลิปดาเหนือ และแวงที่ ๑๐ องศา ๕๐ ลิปดา ๓๕ ฟิลิปดาตะวันออก

การประกาศขึ้นทะเบียน

กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานกู่คัฒนาม พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๒ ไร่ ๓๕ ตารางวา ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๐ ตอนที่ ๓๖ วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๖

สภาพก่อนการขุดแต่ง

โบราณสถานกู่คันธนามตั้งอยู่ในบริเวณกลางเนินเดินทรายขนาดใหญ่ มีทางหลวงหมายเข ๒๐๘๖ (สุวรรณภูมิ ราษีไศล) ผ่านกลางเนินดินทราย กู่คันธนามอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของแนวถนน ปัจจุบันอยู่ติดที่พักสงฆ์กู่คันธนาม เขตที่ดินสาธารณะป่าดงกู่(ป่าดงสภาพ ๕๐ %) โบราณสถานเป็นประเภทอโรยคศาล แต่เดิมมีพระสงฆ์เข้ามาใช้พื้นที่บริเวณปราสาทก่อสร้างศาสนสถานเป็นที่จำวัดและปฏิบัติศาสนกิจ

ส่วนยอดของปราสาทประธานถูกก่อขึ้นใหม่เพื่อทำเป็นอุโบสถ ซึ่งภายในปราสาทประธาน
มีร่องรอยการขุดรื้อหาของมีค่า มุขด้านหน้าปราสาทถูกต่อเติมใหม่ เช่นเดียวกับผนังเรือนธาตุ ภายในห้องบรรณาลัยถูกรื้อหาของมีค่า มีชิ้นส่วนหลังคาอาคารหล่นอยู่ภายใน กำแพงล้อมรอบปราสาทตอนบนที่โผล่พ้นดินขึ้นมาถูกก่อใหม่เกือบทั้งหมดยกเว้นทางด้านทิศใต้ที่ยังคงเป็นของเดิม โคปุระทางด้านทิศตะวันออกทรุดพังลงมา สภาพโดยทั่วไปถูกดินกลบทับอยู่ เนื่องจากภายในปราสาทถูกใช้ทำกิจกรรมอยู่ตลอดเวลาจึงถูกปรับพื้นที่ให้เรียบ บริเวณเส้นกำแพงด้านใน มีต้นไม้ใหญ่ประเภทไม้ยาง ไม้เค็ง ทางด้านทิศตะวันตกของปราสาทประธานมีการเคลื่อนย้ายส่วนประกอบสถาปัตยกรรม เช่น คาน วงกบประตู ทับหลัง ออกมาวางไว้เพื่อตกแต่งบริเวณหน้ากุฏิเจ้าอาวาส

สภาพหลังการขุดแต่ง

หลังจากการรื้อถอนอาคารต่าง ๆ ที่พระสงฆ์ได้ก่อสร้างเอาไว้และขุดแต่งดินที่คลุมตัวโบราณสถานออกแล้ว พบว่าดินที่กลบโบราณสถานอยู่หนาประมาณ ๑.๕๐ เมตร เมื่อยกหินที่คลุมรอบ ๆ ตัวอาคารออกแล้วพบโบราณวัตถุที่มีความสำคัญในการศึกษาเกี่ยวกับศาสนสถานแห่งนี้ยังคงสภาพสมบูรณ์

ลักษณะทางสถาปัตยกรรม

จากการสำรวจและขุดแต่งพบว่าแผนผังของปราสาทกู่คันธนามมีลักษณะเป็นโบราณสถานประเภทอโรคยาศาลหรือโรงพยาบาลอย่างชัดเจน การก่อสร้างใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุหลัก ในการก่อสร้างจะใช้ทินทรายในส่วนที่รับน้ำหนัก หรือแกะสลัก สระน้ำประจำอโรคยาศาลทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือถูกรื้อออกไปจนหมดแล้วนำมาก่อเรียงใหม่ จนไม่สามารถศึกษาถึงรูปแบบเดิมได้

ส่วนกำแพงที่ล้อมรอบปราสาททั้ง ๔ ด้าน ส่วนที่จมอยู่ในดินยังคงอยู่ในสภาพเดิม มีการทรุดเนื่องจากการยุบตัวของดินที่รองรับตัวกำแพง แต่แนวกำแพงด้านทิศใต้ยังคงสมบูรณ์ดี แนวกำแพงด้านทิศตะวันออก บริเวณมุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ใต้แนวกำแพงทำเป็นรางน้ำไหลออกไปลงสระที่อยู่นอกกำแพงกึ่งกลางของแนวกำแพงมีโคปุระตั้งอยู่ โคปุระมีลักษณะเป็นรูปกากบาทมีประตูทางเข้าซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออก ไปทะลุออกไปทางด้านตะวันตก ตรงกลางเป็นห้องโถง มีห้องกำแพงเป็นห้องเล็ก ๆ อยู่ทางด้านเหนือและใต้

ในการขุดแต่งพบประติมากรรมหินทรายรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ๔ กร ในบริเวณห้อง
โถงกลางถัดจากโคปุระไปทางด้านทิศใต้ มีประตูเล็ก ๆ อยู่บนแนวกำแพงด้านทิศตะวันออก โคปุระทางด้านทิศตะวันตกและปราสาทประธานถูกเชื่อมต่อกันโดยลานศิลาแลงซึ่งมีแผนผังเป็นรูปกากบาท ลานหินนี้มีร่องลอยของหลุมเสาต่อเนื่องจากมุขหน้าปราสาทประธานมาจนถึงประตูด้านทิศตะวันตก ของโคปุระซึ่งแต่เดิม น่าจะทำเป็นหลังคาคลุมเนื่องจากสภาพพื้นที่โบราณสถานเป็นเนินทรายจึงทำให้ลานหินมีลักษณะเป็นลูกระนาด จากการทรุดตัวของพื้นที่เช่นเดียวกับอาคารอื่น ๆ หลังจากรื้อถอนหินปราสาทประธานที่ก่อเรียงใหม่ออกหมดแล้วพบว่าเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมทางด้านทิศตะวันออกก่อเป็นมุขยื่นออกมาเชื่อมกับลานหิน
มุขมีลักษณะเตี้ยกว่าตัวปราสาทโดยอยู่ในระดับเดียวกับลานหินภายในมุขทำเป็นบันใดเข้าไปใน ห้องปราสาทประธาน ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาทประธานก่อสร้างเป็นอาคารบรรณาลัย ใกล้กับลานหินทางด้านทิศใต้ มีแผ่นหินทรายสีเขียวมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมปักอยู่ ๓ แผ่น (เดิมอาจจะมี ๔ แผ่น) พบจารึกจากการยกหินตั้งที่หน้าบรรณาลัยลักษณะแบบเดียวกับจารึกที่พบตามอโรคยาศาลหลาย ๆ แห่ง ภายในบรรณาลัยพบว่ามีการปูพื้นด้วยศิลาแลงแต่บางส่วนถูกรื้อออกจากการขุดหาของมีค่า

โบราณวัตถุสำคัญที่พบ
๑. พระโพธิสัตว์ หินทราย ประทับที่นั่ง ถือวัชร ทรงมงกุฎทรงเทริด ทรงตุ้มหู สวมผ้านุ่งสั้น
ประทับนั่งบนฐานสลักลายกลีบบัวตามแบบศิลปะเขมรแบบบายน พบบริเวณมุมด้านนอก
โคปุระด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้สันนิฐานว่าเป็นพระโพธิสัตว์วัชรธร
2. พระโพธิสัตว์ หินทราย ประทับที่นั่งบนฐานสลักลายกลีบถือหม้อน้ำเสมอพระอุระ พบใน
บริเวณเดียวกับพระโพธิสัตว์องค์ที่ถือวัชร
3. พระโพธิสัตว์ประทับยืน 4 กร หินทราย สภาพใต้ข้อพระหัตถ์ซ้ายบนหักแตกหักออก
เป็นส่วนแต่สามารถประกอบได้เต็มองค์ พบบริเวณห้องกลางของโคปุระ มวยผมสลัก
เป็นพระอมิตาระ ประทับนั่งปางสมาธิ พระหัตถ์ขวาบนมือลูกประคำ พระหัตถ์ซ้ายบนถือคัมภีร์
พระหัตถ์ขวาล่างถือดอกบัว พระหัตถ์ซ้ายล่างถือหม้อน้ำนุ่งผ้าชักชายเป็นหางปลาสั้นตามแบบ
ศิลปะเขมรแบบบายน

4. ศิลาจารึก หินทรายสีน้ำตาล ลักษณะเป็นหลักสี่เหลี่ยมด้านเท่า ย่อทรงกระโจม จารึกอักษร
ขอมโบราณ ภาษาสันสกฤต ด้านที่ 1-3 มี 24 บรรทัด ด้านที่ 4 มี 26 บรรทัด เป็น
จารึกสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานไว้ ณ สถานพยาบาล (อโรคยาศาล)
เช่นเดียวกับที่โบราณสถานกู่โพนระคัง เดิมน่าจะปักอยู่บริเวณแผ่นหินทรายเขียวที่อยู่ทางด้าน
ข้างระหว่างปราสาทประธานกับอาคารบรรณาลัย

จากกผลของการขุดแต่งตัวโบราณสถานและโบราณวัตถุที่พบ สันนิษฐานได้ว่าโบราณ
สถานแห่งนี้จะต้องเป็นโบราณสถานประเภทอโรคยาศาลตามที่ปรากฏในจารึกปราสาทตาพรมซึ่งมีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 18 ตามแบบศิลปะเขมรแบบบายน ซึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงโปรดให้สร้างขึ้นตามชุมชนต่าง ๆ ในเขตการปกครองของพระองค์แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของชุมชนที่อยู่รอบศาสนสถานในช่วงเวลานั้นซึ่งพบในแห่งเดียว คือ อโรคยาศาลโบราณสถานกู่คันธนาม (ปัจจุบันเป็นพื้นที่ในเขตอำเภอโพนทราย จังหวัดร้อยเอ็ด) ถึงแม้ว่าลักษณะทางสถาปัตยกรรมโดยรวมแล้วจะมีลักษณะแผนผังเป็นแบบเดียวกันกับศาสนสถานประเภทนี้ในที่ต่าง ๆ แต่ก็แตกต่างกันในส่วนของรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตัวอาคาร เช่น ขนาดการเจาะช่องหน้าต่างโคปุระ การทำมุขหน้าของปราสาทประธานเป็นต้น สันนิษฐานได้ว่าอาคารโบราณสถานประเภทนี้ น่าจะสร้างพร้อมกัน โดยช่าง ฝีมือในท้องถิ่นนั้นเอง ส่วนโบราณวัตถุที่พบ แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ถูกย้ายมาจากตำแหน่งเดิม แต่ก็สามารถยืนยันได้ว่าภายในห้องกลางโคปุระจะเป็นที่ประดิษฐาน พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 4 กร มากกว่าจะเป็นปราสาทประธาน อย่างไรก็ตามการพบศิลาจารึกประจำศาสนสถานก็อาจบอกได้ถึง อายุสมัยการสร้าง วัตถุประสงค์ กำลังคนในการดูแล และปัจจัยที่ถวายให้กับ ศาสนสถานนั้น ๆ ซึ่งจะบอกถึงความสำคัญที่แตกต่างกันของชุมชนแต่ละแห่งที่อโรคยาศาลนั้น ตั้งอยู่ต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น