วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ประวัติผู้ทำโครงงาน

 
 
ชื่อ-สกุล                      นางสาวอภิชญา  นามโน
รหัสประจำตัว             19507
วัน เดือน ปีเกิด            23 กรกฎาคม   .ศ. 2538
สถานที่ติดต่อ              บ้านขมิ้น บ้านเลขที่ 65 หมู่ 13 ตำบล เด่นราษฎร์  อำเภอหนองฮี
                                    จังหวัดร้อยเอ็ด
 
 
 
 

 
ชื่อ-สกุล                      นางสาวจิราวรรณ  มวลศรี
รหัสประจำตัว             19690
วัน เดือน ปีเกิด             23  พฤษภาคม  2538
สถานที่ติดต่อ              บ้านน้ำคำน้อย  บ้านเลขที่ 47 หมู่ 9 ตำบล สุวรรณภูมิพิทยไพศาล
                                    อำเภอ สุวรรณภูมิพิทยไพศาล  จังหวัด ร้อยเอ็ด

 
ชื่อ-สกุล                      นายอมรเทพ  ดงเย็น
รหัสประจำตัว             21365
วัน เดือน ปีเกิด            4  กุมภาพันธ์  2539
สถานที่ติดต่อ              บ้านหนองบัวดอนต้อน  บ้านเลขที่ 65 หมู่ 8  ตำบล โพนทราย
                                    อำเภอ โพนทราย  จังหวัด ร้อยเอ็ด
 




ชื่อ-สกุล                      นางสาวสุดารัตน์  สีโนนม่วง

รหัสประจำตัว             21373

วัน เดือน ปีเกิด            29  มีนาคม  2538

สถานที่ติดต่อ              บ้านหนองมะเหียะ บ้านเลขที่ 55 หมู่ 10  ตำบล จำปาขัน
                                    อำเภอ สุวรรณภูมิพิทยไพศาล  จังหวัด ร้อยเอ็ด

ตำนานท้าวคันธนาม

คำว่า คันธนามเป็นคำเดียวกับคำว่า คันธะนามในตำนานเรื่องคันธนามโพธิ์สัตว์ชาดก อันเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าของเรามาเสวยชาติสร้างบารมี เมื่อหลายแสนปีมาแล้ว บริเวณทั้งหมดที่ใกล้กับกู่คันธนาม เป็นพื้นที่ชัยภูมิที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรดเวนัยสัตว์ ซึ่งมีผู้ค้นคว้าได้จาก หนังสือจารึกไว้ในใบลาน เป็นตัวธรรม จำนวน ๗ ผูก และบันทึกไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาประวัติความเป็นมา

ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองสาเกตุ มีสาวทึนทึกวัยกลางคนคนหนึ่ง ทำมาหากินอยู่ในหมู่บ้าน โดยมีที่นาอยู่ตรงบริเวณตรงกลางของที่นาชาวบ้านคนอื่นๆ ต่อมาได้ถึงกำหนดที่จะมีเทวบุตรมาจุติในโลกมนุษย์

พอถึงหน้าเก็บเกี่ยวข้าว พระอินทร์ก็แปลงมาเป็นช้างบุกรุกเหยียบย่ำเข้าไปในนาของสาวทึนทึกนางนั้นจนเสียหายหมด แล้วก็หนีไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยบันดาลรอยเท้าให้เห็น ครั้นตอนเช้านางมาเห็นเข้าก็เสียใจและโกรธมาก จึงตกลงใจเดินทางตามหาสัตว์ที่มาทำลายข้าวในนาของนาง

ระหว่างทางนางกินน้ำในรอยเท้าช้างแปลง ก็เกิดตั้งครรภ์ จึงเดินทางกลับเมืองสาเกตุ มาคลอดลูกเป็นชายใช้ชื่อว่า "คันธนาม" (คชนาม)
เมื่อายุได้ 7 ปี ไปปราบยักษ์ซึ่งเฝ้ารักษาสมบัติอยู่ ได้สมบัติของยักษ์นั้นก็เอามาให้แก่มารดาของตน ต่อมาความทราบถึงเจ้าเมืองก็ต้องการจะได้คันธนามมาเป็นลูกเขย จึงเชิญคันธนามและมารดามาสร้างประสาทให้อยู่และประกาศยกลูกสาวให้

วันหนึ่งคันธนามคิดถึงพ่อ จึงลามารดาเดินทางออกตามหาพ่อระหว่างทางได้เพื่อนเดินทางเป็นผู้ทรงพลัง 2 คน คือ ชายลากไม้ร้อยกอ กับชายลากเกวียนร้อยเล่ม และได้ไม้เท้าวิเศษซึ่งถ้าเอาทางโคนชี้ใครคนนั้นจะตาย ถ้าเอาทางปลายชี้ คนตายจะฟื้นขึ้นมา (ไม้เท้าวิเศษนี้เรียกว่า "กกซี่ตาย ปลายซี่เป็น")

จนในที่สุด คันธนามและเพื่อนเดินทางมาถึงเมืองร้างแห่งหนึ่ง ได้พบลูกสาวเจ้าเมืองนั้น ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในกลอง(นางคำกลอง)



จึงสอบถามนางคำกลอง ได้ความว่า เมืองนี้ได้มียักษ์งูซวง มาอาละวาดจับคนในเมืองกินเป็นอาหาร คันธนามจึงจัดการปราบยักษ์นั้นจนแพ้ แล้วใช้ไม้เท้าวิเศษชุบคนในเมืองฟื้นกลับมาทั้งหมด

จากนั้นคันธนามก็เดินทางต่อไป รบกับเมืองต่างๆ เช่น เมืองผาญี เดินทางจนไปถึงเมืองไกรลาศ แต่ไม่ได้พบพ่อ จนถึงเมืองจัมปากนาคบุรี (จำปาศักดิ์) ก็เข้ารบยึดมาเป็นเมืองของตนขึ้นครองสมบัติสืบต่อมา

ท้าวคัชนาม(คันธนาม) นิทานพื้นบ้าน

วรรณกรรมเรื่องท้าวคัชนาม จัดเป็นวรรณกรรมเด่นอีกเรื่องหนึ่งในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่กวีผู้ประพันธ์มีเจตนาที่จะบันทึกเรื่องราวให้เป็นชาดก โดยเชื่อกันว่าเรื่องท้าวคัชนามเป็นเรื่องชาดก แต่ความจริงแล้วไม่ปรากฏอยู่ในนิบาตชาดก

ฉะนั้นเรื่องท้าวคัชนามนี้จึงจัดเป็นชาดกนอกนิบาต กล่าวคือ ตอนเปิดเรื่องได้เล่าถึงความเป็นมาเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นคันธนโพธิสัตว์ส่วนของเนื้อเรื่องในแต่ละตอนกวีได้สอดแทรกหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาในรูปของปริศนาธรรมที่ลุ่มลึก เพื่อชี้ให้เห็นถึงบาป บุญ คุณโทษ โลภะ ตัณหา รวมทั้งบุพกรรมต่างๆ ที่สอดคล้องกับความเชื่อของชาวอีสานในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ทั้งชาตินี้และชาติหน้าว่าเป็นผลบุญผลกรรมที่ได้กระทำไว้เพื่อได้ไปเกิดในภพใหม่ที่ดีกว่า นั่นคือ โลกของพระศรีอาริย์ ตอนจบเรื่องได้แจกแจงตัวละครว่า ผู้ที่สร้างกุศลผลบุญทำทานด้วยใบลานและเขียน (จาร) ใบลาน จะเป็นผู้มีปัญญาจะได้ถึงสุขทั้งโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ และนิพพาน

โย ปุคคฺโล อันว่าบุคคลผู้ใดแลมาได้ให้ใบลานเป็นทานแก่บุคคลผู้สร้าง ผู้เขียนยังหนังสือธรรมคำสอนแห่งพระพุทธเจ้าแท้ดังนั้น

โส อันว่าบุคคลผู้นั้นก็จักได้เถิงสุข 3 ประการแล สุขในเมืองคนก็จักได้เป็นพระยาจักรวัตติราช ได้เป็นอาชญ์กว่าทีปชมพูแท้แล คันว่าสุขในชั้นฟ้าก็จักได้เป็นพระยาอินทร์กินสองชั้นฟ้า ก็มีแล สุขในนิรพานเป็นที่แล้ว บรบวรณ์ควรที่ปัญญาอันได้ให้ยังใบลานเป็นทานแก่เจ้าภิกษุแลสามเณร แล้วให้ทาน สร้างเขียนเอาตามใจมักแท้ดังนั้น ส่วนอันว่าเจ้าทิพย์ปัญญาผู้นั้นก็หากจักได้เอาผละบุญมากนัก แท้ดังนั้น ส่วนอันว่าเจ้าทิพย์ปัญญาผู้นั้นก็หากจักได้ผละบุญมากนัก แท้ดีหลีแล
เรื่องท้าวคัชนามนี้ ชาวอีสานนำมาเป็นนิทานอธิบายเชื่อบ้านนามเมืองอีกเรื่องหนึ่ง โดยอธิบายที่มาของชื่อภูเขาสำคัญชื่อสถานที่ในภาคอีสาน เนื้อเรื่องท้าวคัชนามเป็นเรื่องขนาดยาวหลายตอนจบ และบางตอนก็คล้ายกับเรื่องอ้ายเจ็ดทะนงของภาคกลาง และเรื่อง อ้ายตะเลิ้กเคิ่กของภาคเหนือ และเรื่องอ้ายเจ็ดจาของภาคใต้ มีเรื่องย่อดังนี้



ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่เฒ่ายากจน อาศัยอยู่ที่เมืองศรีสาเกตุเพียงผู้เดียว ไร้ญาติที่พึ่งพา ชาวบ้านสงสารจึงแบ่งที่ดินให้ทำนา แม่เฒ่าก็ทำนาพอเลี้ยงชีพ

แต่ครั้งหนึ่งแม่เฒ่าไปดูข้าวที่ปลูกไว้พบว่า มีรอยเท้าช้างเหยียบย่ำข้าวในนาเสียหาย นางจึงติดตามรอยเท้าช้าง นางรู้สึกกระหายน้ำอย่างยิ่ง เห็นแต่มีน้ำอยู่ในรอยเท้าช้าง แม่เฒ่าจึงดื่ม ครั้นดื่มน้ำในรอยเท้าช้างแล้วรู้สึกมีกำลังเหมือนสาวๆ น้ำในรอยเท้าช้างนั้นเป็นน้ำปัสสาวะของช้างจำแลง ซึ่งพระอินทร์จำแลงมาเพื่อที่จะช่วยเหลือให้เทพบุตรมาเกิดในครรภ์ของนาง

ฉะนั้นเมื่อนางกลับบ้านก็ตั้งครรภ์ ประมาณสิบเดือนคลอด บุตรชาย มีรูปร่างแข็งแรง มีดาบศรีคันชัย(ศรีขรรค์ชัย) มาด้วย คัชนามช่วยเหลือแม่เฒ่าทำงานตั้งแต่เล็กๆ

วันหนึ่ง คัชนามถามถึงบิดา แม่เฒ่าก็เล่าให้ฟังและพาไปป่าเพื่อดูรอยเท้าช้างที่แม่เฒ่าดื่มน้ำ ขณะนั้นได้พบยักษ์ ยักษ์เข้าทำร้ายแม่เฒ่า คัชนามจึงต่อสู้กับยักษ์ใช้ดาบศรีคันชัยสู้กับยักษ์ ยักษ์ยอมแพ้จึงมอบน้ำเต้าวิเศษให้และบอกแหล่งช่อนขุมทอง ทั้งสองแม่ลูกไปค้นหาแหล่งขุมทองพบทองคำจำนวนมากจึงทำให้สองแม่ลูกมีฐานะดีขึ้นและแบ่งทองคำให้เพื่อนบ้านทุกคน

เมื่อท้าวคัชนามอายุ 16 ปี ข่าวเล่าลือเป็นคนมีกำลังมาก สามารถปราบยักษ์ได้ล่วงรู้ไปถึงพระยาศรีสาเกตฯ จึงเรียกเข้าเฝ้า สั่งให้ทดลองกำลังถอนต้นตาล 2 ต้น ที่ขวางทางเสด็จ ท้าวคชนามก็ถอนได้ แล้วเหาะไปในอากาศกวัดแกว่งต้นตาลด้วยกำลัง พระยาศรีสาเกต จึงแต่งตั้งให้เป็นอุปราชและสร้างปราสาทให้ประทับ ท้าวคัชนามก็พาแม่เฒ่ามาอยู่ด้วย และใช้น้ำเต้าวิเศษรดบนร่างกายแม่เฒ่า แม่เฒ่าก็กลับร่างเป็นสาวรุ่น

วันหนึ่ง ท้าวคัชนามก็ลาแม่ติดตามบิดา ท้าวคัชนามเดินตามรอยเท้าช้างไปยังเมืองอินทปัตถา ระหว่างทางไปพบชายร้อยเล่มเกวียนที่กำลังลากเกวียน 500 เล่มด้วยตัวคนเดียว ท้าวคัชนามจึงประลองกำลังโดยไปดึงเกวียนเล่มท้าย ชายร้อยเล่มเกวียนลากเกวียนไม่ไหวจึงหันมาดูข้างหลังพบท้าวคัชนาม จึงต่อสู้กัน ชายร้อยเล่มเกวียนสู้ไม่ได้จึงขอเป็นทาสติดตามไปด้วย ต่อมาพบชายไม้ร้อยกอกำลังลากไม้ร้อยกอ ท้าวคัชนามก็ประลองกำลังจับไม้ที่กำลังถูกลาก ชายไม้ร้อยกอโกรธจึงต่อสู้กัน ท้าวคัชนามชนะชายไม้ร้อยกอจึงยอมเป็นทาสติดตามไปด้วย ทั้งสามก็เดินทางไปตามหาบิดาท้าวคัชนาม

ทั้งสามเดินทางไปถึงป่าหิมพานต์จึงหยุดพักด้วยความหนื่อยและหิวอาหาร พอดีเห็นตัวจีนายโม้ (แมลงคล้ายจิ้งหรีด) กำลังขุดขุยดินกระเด็นข้ามแม่น้ำโขงไปตกใกล้เมืองเวียงจันทน์ ยังเห็นกลายเป็นก้อนหินจำนวนมากกองอยู่ ปัจจุบันเป็นค่ายทหารลาวเรียกว่าค่ายจีนายโม้เพราะมีหินซึ่งหลายมาจากขี้ขุยดินที่ตัวจิ้งหรีดยักษ์ขุดกระเด็นมาตกไว้





เมื่อครั้งนั้น ท้าวคัชนามจึงให้ชายทั้งสองไปจับจิ้งหรีดยักษ์มากิน แต่ชายทั้งสองมีกำลังสู้จิ้งหรีดยักษ์ไม่ได้ ถูกดีดสลบกระเด็นไปไกล ท้าวคัชนามจึงลงไปในรูจับได้ขาข้างหนึ่ง ตัวจิ้งหรีดยักษ์พยายามดีดจนขาหลุดมาข้างหนึ่ง เมื่อท้าวคัชนามได้ขาจิ้งหรีดยักษ์ จึงหาเพื่อนทั้งสองเห็นสลบอยู่ไม่ไกลนัก ท้าวคัชนามเอาน้ำในลูกน้ำเต้ารดลงที่ร่างชายทั้งสองก็ฟื้นขึ้นมา ท้าวคัชนามจึงให้ไปขอไฟที่กระท่อมที่อยู่ไม่ไกลนัก เมื่อชายไม้ร้อยกอไปก็พบยักษ์ถูกยักษ์จับหักขาขังไว้ที่สุ่มเหล็ก ครั้นให้ชายร้อยเล่มเกวียนไปตามก็ถูกยักษ์จับหักขาเช่นเดียวกัน ท้าวคัชนามคอยอยู่นานจึงติดตามไปดูเห็นเพื่อนผู้มีกำลังถูกจับขังอยู่ในสุ่มเหล็ก รู้ว่ายักษ์ตนนี้มีฤทธิ์มากจึงใช้ดาบศรีคันชัย ยักษ์สู้ไม่ได้ร้องขอชีวิตไว้ ยักษ์ให้ไม้ท้าววิเศษ กกชี้ตาย ปลายชี้เป็นและพิณวิเศษแก่ท้าวคัชนาม ท้าวคัชนามได้ใช้น้ำในลูกน้ำเต้ารดเพื่อนทั้งสอง ทั้งสองก็หายจากขาหัก ทั้งสองจึงย่างขาจิ้งหรีดยักษ์กินเป็นอาหารจนอิ่ม แล้วจึงเดินทางต่อไป

ทั้งสามเดินทางเข้าเมืองขวางทะบุรี พบว่าเป็นเมืองร้างไม่มีผู้คนอยู่เลย พอถึงกลางเมืองพบกลองใบใหญ่ใบหนึ่ง จึงตีกลองเพื่อเรียกให้ผู้คนออกมาพบ ครั้นตีกลองก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง จึงใช้มีดกรีดหน้ากลอง พบหญิงสาว จึงช่วยออกมาแล้วถามความเป็นไป

นางเล่าว่า นางชื่อ กองสีเป็นธิดาเจ้าเมือง เจ้าเมืองนำตนมาช่อนไว้ให้พ้นจากงูซวง (งูผีของพระยาแถน) ส่วนเจ้าเมืองและไพร่พลถูกงูซวงของพระยาแถนกินหมดแล้ว เนื่องจากเจ้าเมืองและชาวเมืองประพฤติตนไม่อยู่ในจารีต เจ้าเมืองไม่อยู่ในทศพิธราชธรรม และชาวเมืองยิงนกตกปลา ฆ่าสัตว์ ทำบาป พระยาแถนจึงปล่อยงูซวงออกมากินคนจนหมดเมือง นางบอกว่าถ้าหากก่อไฟงูซวงเห็นแสงไฟก็จะลงมาอีก ท้าวคัชนามจึงก่อกองไฟใหญ่ให้แสงส่องถึงเมืองพระยาแถน ครั้นงูซวงลงมาจำนวนมากก็ถูกท้าวคัชนามและสหายช่วยกันฆ่าตายหมด ท้าวคัชนามจึงช่วยชีวิตชาวเมือง ขวางทะบุรี โดยใช้ไม้เท้ากกชี้ตายปลายชี้เป็น ชี้ไปยังกระดูกคน ผู้คนชาวเมืองก็ฟื้นคืนชีพทุกคน ส่วนกระดูกงูนั้นไหลตามน้ำไป เมื่อฝนตกใหญ่พัดพาไปติดที่ดักปลาของยักษ์ซึ่งนำก้อนหินใหญ่ๆ มาทำลี่ดักปลายอยู่กลางน้ำโขง เมื่อกระดูกงูลอยมาติดจำนวนมากจึงเรียกว่าแก่งลี่ผีและเพี้ยนเสียงเป็น แก่หลี่ผีส่วนกองไฟที่ท้าวคัชนามก่อนั้นเมื่อถูกฝนตกใหญ่จึงดับ กลายเป็นภูเขาเรียกว่าดงพระยาไฟแล้วเปลี่ยนเป็น ดงพระยาเย็นภายหลัง เมื่อเจ้าเมืองขวางทะบุรีฟื้นแล้วก็ดีพระทัย จึงยกเมืองให้ท้าวคัชนามพร้อมทั้งนางกองสี ท้าวคัชนามให้ชายร้อยกอเป็นอุปราช และชายร้อยเล่มเกวียนเป็นแสนเมือง

อยู่ไม่นานท้าวคัชนามก็ต้องเดินทางติดตามบิดาของตนต่อไป โดยฝากเมืองให้เพื่อนทั้งสองดูแล ท้าวคัชนามไปอยู่กับแม่เฒ่าที่เมืองจำปานคร ได้นางสีไวธิดาเศรษฐีเป็นภรรยา มีบุตรคนหนึ่งชื่อ คัชเนกวันหนึ่งพระยาจำปาเสด็จประพาสป่าพบยักษ์ ยักษ์จับพระยาจำปาได้ พระยาจำปาขอชีวิต ยักษ์จึงแลกเปลี่ยนให้หามนุษย์ให้ยักษ์กินวันละคน พระยาจำปารับคำแล้วเสด็จกลับเมือง พระยาจำปาก็ทำตามสัญญาโดยสั่งให้นำนักโทษไปไว้ที่หอผีกลางเมืองตามที่ยักษ์สั่งไว้ ครั้นเมื่อหมดนักโทษพระยาจำปาคิดว่าคงไม่สิ้นเวรกรรม หากนำคนที่ไม่ผิดไปให้ยักษ์กิน จึงคิดว่าตนเองควรจะไปเป็นอาหารยักษ์เสีย จะได้สิ้นเวรสิ้นกรรม ข่าวรู้ถึงนางสีดาธิดาคนเดียวของพระยาจำปา นางจึงอาสาพระบิดาไปเป็นอาหารยักษ์แทน พระบิดาจำใจต้องยินยอมนาง เพราะนางมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้ว นางขอเบิกเงินในท้องพระคลังทำบุญและแจกทานแก่ไพร่ฟ้าประชาชนก่อนที่จะอาสาไปเป็นอาหารยักษ์ ชาวเมืองทราบข่าวต่างอาลัยพระธิดาร่ำไห้กันทั้งเมือง ท้าวคัชนามเห็นประชาชนเมืองจำปาร่ำไห้จึงถามแม่เฒ่า แม่เฒ่าจึงเล่าเรื่องให้ฟัง พอตกดึกท้าวคัชนามจึงเหาะไปที่หอผีกลางเมืองเปิดประตูเข้าหานางสีดา นางสีดาคิดว่าเป็นยักษ์ ท้าวคัชนามจึงแสดงตนทันที แล้วกล่าววาจาปลอบนางไม่ต้องกลัวยักษ์ ครั้นเมื่อยักษ์มาถึงท้าวคัชนามฆ่ายักษ์ตาย แล้วนำซากไปทิ้งไว้ที่หนองน้ำ ท้าวคัชนามกลับมาหานางสีดาที่หอผี นางขอร้องให้พานางไปส่งตำหนัก ท้าวคัชนามกล่าวว่าไม่บังควร ผู้คนจะนินทาว่านางทำมายาคบชู้ ท้าวคัชนามจึงลานางกลับด้วยความอาลัย ท้าวคัชนามจึงตัดผ้าแสนคำให้นางสีดาดูต่างหน้า ส่วนางสีดาให้แหวน ทั้งสองก็ลาจากกัน

ครั้นรุ่งเช้าชายหาหญ้าไปพบซากยักษ์ที่หนองน้ำ ก็ร้องประกาศว่ายักษ์ตายแล้ว พระยาจำปาจึงให้ไปรับนางสีดากลับวัง นางสีดาเล่าเรื่องชายผู้มีอิทธิฤทธิ์ให้ฟัง พระยาจำปาจึงให้ประกาศหาชายผู้มีฤทธิ์ สั่งทหารไปเกณฑ์ชายหนุ่มให้นำผ้ามาต่อชายกับผ้าที่ระลึกของนางสีดา มีผู้อาสามากมาย แต่ก็ไม่มีใครมีผ้าเป็นผืนเดียวกัน ทหารจึงทูลว่ามีชายหนุ่มที่อาศัยอยู่กับแม่เฒ่าในสวนไม่ยอมมา พระยาจำปาให้ทหารไปตามถึงสามครั้ง ครั้งหลังพระยาจำปาจะฆ่าทหารถ้านำตัวมาไม่ได้ ท้าวคัชนามเห็นดังนั้นจึงมาที่ท้องพระโรง และนำผ้าแสนคำมาต่อกับผ้าของนางสีดา พระยาจำปาเห็นเช่นนั้นก็ดีพระทัย ที่เห็นท้าวคัชนามบุรุษผู้มีฤทธิ์ และมีบุญญาธิการมาช่วยปราบยุคเข็ญ จึงยกพระธิดาให้และให้ครองเมืองจำปาต่อไป พระยาจำปาจัดงานสมโภชการครองเมืองของท้าวคัชนาม ส่วนซากยักษ์นั้นท้าวคัชนามนำไปทิ้งในหนองน้ำเรียนกว่า หนองแช่ในปัจจุบัน กระดูกยักษ์ส่วนหนึ่งกลางเป็นนาค 5 ตัว ในแม่น้ำโขง และกระดูกชิ้นเล็กๆ กลายเป็นปลาบึก ปลาเลิม ในเม่น้ำโขงนั่นเอง (ต้นฉบับจบเท่านี้)
ตามเนื้อเรื่องสำนวนอื่นๆ จะเล่าต่อไปจนถึงรุ่นลูกของท้าวคัชนาม คือคัชเนกและคัชจันทร์ ท้าวคัชเนกและคัชจันทร์ มีอิทธิฤทธิ์มาก ทั้งสองวิวาทกันทำศึกเป็นมหาภารตยุทธ คือสะเทือนไปทั้งโลกจักรวาล เดือดร้อนไปถึงหมู่เทพเทวา เทวดาจึงไปเฝ้าพระยาแถนให้มาห้ามทัพ พระยาแถนเล็งเห็นว่าท้าวคัชเนกสิ้นบุญแล้ว จึงบันดาลลมมีดแถ (มีดโกน) ไปยังกองทัพของสองพี่น้อง ลมมีดแถฟันท้าวคัชเนกสิ้นชีวิตตกลงบนแผ่นดิน ร่างท้าวคัชเนกกลายเป็นภูเขาชื่ว่าภูจอมสีเป็นภูเขาอยู่กลางเมืองหลวงพระบาง ศีรษะตกลงดินกลายเป็นพระยานาค เลือดตกลงมาเป็นก้อนสีแดง เรียกว่า ภูครั่งร่างส่วนหนึ่งตกมากระทบแผ่นดินเป็นหลุมใหญ่ในหุบเขา ภายหลังกลายเป็นเมืองเรียกว่าเมืองหล่ม” (อำเภอหล่มสัก)





สถานที่น่าสนใจ




บริเวณด้านหน้าของตัวปราสาท





 
 
รูปปั้น ท้าวคันธนาม

 
กินายโม้
 

 
ชายลากไม้ร้อยกอ กับชายลากเกวียนร้อยเล่ม
 

 
สาวทึนทึก และ ช้างของพระอินทร์
 
 

 
อาคารบรรณาลัย
 

ประโยชน์


ประโยชน์

1.            เป็นแหล่งให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ผู้สนใจ

2.            ส่งเสริมการเรียนการสอนอีกแนวทางหนึ่ง

3.            เป็นการนำเทคโนโลยีที่มีอยู่มาให้ประโยชน์

4.            เป็นแนวทางสำหรับบุคคลที่สนใจในการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมหรือนำไปพัฒนาต่อ

วัตถุประสงค์


วัตถุประสงค์

1.            เพื่อออกแบบเว็บไซต์ เรื่อง  ปราสาทกู่คันธนาม

2.            เพื่อพัฒนาเว็บไซต์ เรื่อง  ปราสาทกู่คันธนาม

3.            เพื่อเผยแพร่ความรู้ เรื่อง ปราสาทกู่คันธนาม   ผ่านเว็บไซต์

ที่มาและความสำคัญ


ที่มาและความสำคัญ

ในปัจจุบันได้มีการนำสื่อการเรียนการสอนของหลายแขนงวิชามาประยุกต์ใช้ในระบบอินเตอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีที่ผู้เรียนสามารถศึกษาเรียนรู้ข้อมูลต่างๆ จากแหล่งข้อมูลและทรัพยากรที่มีการจัดเตรียมไว้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการนำเสนอที่น่าสนใจโดยจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ศึกษามีอิสระและความคล่องตัวในการเลือกศึกษาในเรื่องที่ตนสนใจได้ทุกเวลา เพียงแค่ผู้เรียนมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์เน็ตก็สามารถศึกษาข้อมูลได้แล้ว ดังนั้นผู้จัดทำจึงได้มีความคิดที่จะพัฒนาสื่อนี้ขึ้น และเพื่อให้สอดคล้องกับการเรียนการสอนวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ทางคณะผู้จัดทำจึงได้สร้างเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ในเรื่อง ปราสาทกู่คันธนาม

 

การเดินทาง


การเดินทาง

จากอำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ตามทางหลวงหมายเลข ๒๐๘๖ (สุวรรณภูมิ โพนทราย ราษีไศล) มาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ ๒๙ กิโลเมตร ถึงอำเภอโพนทราย และเลยไปตามเส้นทางเดิมทางอำเภอราษีไศลอีกประมาณ ๓.๕ กิโลเมตร ถึงอโรคยาศาลโบราณสถานกู่คันธนาม